True Square Thinline เมื่อ Rado เปล่งประกายในยามราตรี

   เมื่อ : 13 ส.ค. 2567

Rado True Square Thinline นาฬิกา 3 เรือนใหม่จาก Rado ที่มาในเฉดสีเข้มล้ำลึก แต่แฝงสีสันที่ชวนให้นึกถึงเสน่ห์ แสงสี และความตื่นเต้นของชีวิตยามค่ำคืนใจกลางเมือง ตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมดีไซน์มาอย่างงดงาม มีความมินิมัล เพรียวบาง และมีสไตล์ตามแบบฉบับของ Rado นาฬิกา True Square Thinline รุ่นใหม่นี้จึงถือเป็นทั้งนาฬิกาและเครื่องประดับที่เหมาะกับการออกไปสนุกสนานยามราตรี รับรองว่าต้องถูกใจคนนอนดึกแน่นอน

ในครั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุที่คนทั่วโลกต่างยกย่อง ได้ถอดแบบบรรยากาศตั้งแต่ช่วงพลบค่ำจนถึงรุ่งอรุณลงมาอยู่ในตัวเรือนไฮเทคเซรามิกแบบขัดเงา โครงสร้างเป็นแบบชิ้นเดียว พร้อมสายนาฬิกาไฮเทคเซรามิกที่เข้ากัน การเลือกใช้พื้นผิวขัดเงานี้ช่วยเพิ่มความแวววาวที่จะสะท้อนแสงไฟในเมือง ไม่ว่าจะจากรถยนต์ที่สัญจรไปมา ป้ายบิลบอร์ดสว่างสดใส รวมถึงแสงไฟที่สาดส่องจากกล้องถ่ายรูปในงานกลางคืน

True Square Thinline จึงเป็นนาฬิกาอีกเรือนที่มีเอกลักษณ์และบ่งบอกตัวตนของผู้ใส่ได้อย่างชัดเจน ทั้งความเรียบหรู เลอค่า และความสง่างาม แม้จะเหมาะแก่การออกไปเฉิดฉายยามค่ำคืน แต่ความจริงแล้ว True Square Thinline ก็ยังเข้ากับบรรยากาศอื่นๆ ไม่ว่าจะที่บ้าน ที่ทำงาน หรือการใช้ชีวิตประจำวันด้วยเช่นกัน

นาฬิกา 3 เรือนใหม่ล่าสุดนี้เกิดจากการนำคุณสมบัติเด่นของนาฬิกาตระกูล True Square มาผสานเข้ากับคุณสมบัติเด่นของตระกูล Thinline จนเกิดเป็นนาฬิการูปทรงสี่เหลี่ยมขนาด 37 x 43.3 มม. ที่บางเพียง 5.0 มม. เท่านั้น ด้านในมีกลไกควอตซ์ Rado คาลิเบอร์ R420 คอยขับเคลื่อนกับ 13 จีเวล ซึ่งทั้งหมดนี้มีความหนาไม่ถึง 1 มม. เป็นรูปแบบที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อนเลย ถือเป็นอีกหนึ่งงานฝีมือที่แสดงให้เห็นถึงความชำนาญด้านวัสดุและการออกแบบอย่างแท้จริง

Rado True Square Thinline สองเรือนแรกมีสีดำ หน้าปัดสีดำแบบซันบรัช ดัชนีบอกเวลาเป็นสีดำเช่นกันแต่เพิ่มลูกเล่นด้วยการไล่เฉดสีอย่างแนบเนียน ถัดเข้ามาคือโลโก้ Rado กับเข็มนาฬิกาสีสันสะดุดตา มี 2 สีให้เลือกคือสีเขียวเทอร์ควอยซ์กับสีส้มเฉดเดียวกับดวงอาทิตย์ การเลือกใช้สีที่ตัดกับความมืดดำนี้เองที่เป็นเหมือนแสงไฟซึ่งสว่างไสวอย่างทรงพลังในเมือง ที่เห็นเมื่อไหร่ก็สัมผัสได้ถึงความคึกคักและมีชีวิตชีวา ส่วนรูปลักษณ์โดยรวมยังคงโดดเด่นด้วยดีไซน์สี่เหลี่ยมโค้งมน ให้ความรู้สึกสบาย และตัวไฮเทคเซรามิกก็ให้สัมผัสนุ่มนวล

นอกจากเรือนสีดำ 2 เรือนแล้ว Rado True Square Thinline ยังมีอีกหนึ่งความพิเศษ คือเฉดสีเขียวเหลือบ ตัวเรือนโครงสร้างแบบชิ้นเดียวกับสายนาฬิกาผลิตจากไฮเทคเซรามิกเช่นเดียวกัน แต่หน้าปัดประดับเปลือกหอยมุกสีเขียวดูลุ่มลึก ดัชนีบอกเวลาใช้สีเขียวไล่เฉด ส่วนเข็มนาฬิกากับโลโก้ Rado แบรนด์เลือกใช้สีเหลืองสว่างตัดกับพื้นหลังชัดเจน ช่วยให้นาฬิกาเรือนนี้ดูโดดเด่นและมีมิติ

ส่วนคุณสมบัติอื่นๆ ของ Rado True Square Thinline ทั้ง 3 เรือนนี้นั้นเหมือนกัน คือใช้ฝาหลังไทเทเนียม ตัวล็อกตรงสายนาฬิกาเป็นบานพับล็อกแบบสามทบ และนาฬิกากันน้ำได้ถึง 3 บาร์ หรือ 30 เมตร รับประกันได้เลยว่านาฬิกาแห่งยามค่ำคืนคอลเล็กชั่นนี้ใช้งานในชีวิตจริงได้อย่างสบาย ไม่ต้องกังวลแม้เจอพายุฝนใดๆ เมื่อรวมกับสไตล์ของนาฬิกาที่ Rado รังสรรค์ขึ้นมาให้ดูทันสมัย ไม่ตกเทรนด์ จึงทำให้ True Square Thinline 3 เฉดสีแมตช์กับทุกคนทุกช่วงวัยอย่างลงตัว และพร้อมจะอยู่ในทุกช่วงเวลาของชีวิตตั้งแต่เช้าจรดค่ำจริงๆ 

ทำไมต้องไฮเทคเซรามิก – เพราะไม่เหมือนวัสดุอื่นๆ…
    หากจะพูดถึงหัวใจสำคัญของไฮเทคเซรามิกของ Rado ก็ต้องใช้คำว่า “Feel it” คือต้องสัมผัสและทำความรู้จัก ถึงจะพบว่านี่คือสุดยอดวัสดุที่ไม่มีใครเหมือน จากจุดเริ่มต้นในอดีตที่ต้องการผลิตวัสดุที่มีความทนทานสูง ทำให้ Rado สร้างสรรค์ไฮเทคเซรามิกขึ้นมาได้สำเร็จ เป็นสารที่มีน้ำหนักเบา ทนทานต่อรอบขีดข่วนได้อย่างดีเยี่ยม
    แต่ในความแข็งแกร่ง ทนทานของไฮเทคเซรามิก ยังมีอีกคุณสมบัติที่น่าหลงใหล นั่นคือความสบายผิว เมื่อสวมบนข้อมือแล้วจะสัมผัสได้ถึงความนุ่มเป็นมิตรกับผิว ทั้งตัวเรือนและสายนาฬิกา เหมือนเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้อยู่บนข้อมือเราอย่างแท้จริง เป็นสัมผัสที่ไม่ว่าใครก็จะไม่มีวันลืม

 

ข้อมูลเกี่ยวกับไฮเทคเซรามิก
    Rado เปิดตัวไฮเทคเซรามิกครั้งแรกเมื่อปีค.ศ.1986 วัสดุที่มีคุณสมบัติมากมาย ทั้งแข็งแรงทนทาน ป้องกันรอยขีดข่วนได้ น้ำหนักเบา และให้สัมผัสนุ่มนวล ทั้งหมดนี้ชนะใจคนรักนาฬิกาทั่วโลกได้ทันที
    ไฮเทคเซรามิกเกิดขึ้นได้ด้วยวิทยาศาสตร์ขั้นสูง ต้องใช้ทั้งผงอะลูมิเนียมออกไซด์ เซอร์โคเนียมออกไซด์ และซิลิกอนไนไตรด์บริสุทธิ์ที่มีขนาดเกรนเท่ากันทั้งหมด จากนั้นนำมาขึ้นรูป แล้วเข้าอบในอุณหภูมิสูง โดยมีพลาสติกผสมผงแร่เป็นสารตัวกลางที่ช่วยให้ฉีดขึ้นรูปในแม่พิมพ์ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้ต้องอยู่ใต้แรงดันราว 1000 บาร์ หลังจากนั้นเมื่อส่วนประกอบเย็นตัวลง ก็นำไปเผาผนึกที่อุณหภูมิ 1450°C ขั้นตอนนี้อยู่ในระดับเดียวกับการผลิตจรวด ซึ่งทำให้ไฮเทคเซรามิกมีความหนาแน่นและแข็งแรงกว่าเซรามิกทั่วไป โดยช่างเทคนิคต้องคำนวณขนาดนาฬิกาให้แม่นยำ เพราะกระบวนการเผานี้ตัวเรือนจะหดลง 23% ส่วนความแข็งสุดท้ายที่ได้อยู่ในระดับ 1250 Vickers พร้อมเข้าสู่กระบวนการเจียระไนและตกแต่งด้วยเครื่องมือเดียวกับที่ใช้เจียระไนเพชร

ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ